ที่แต่ละพรรคจะได้ เมื่อจำนวนส. แกว่งได้ตลอดเวลา ประสิทธิภาพของฝ่ายนิติบัญญัติจึงไม่มี สอดรับด้วยตัวกำหนดคือ พ. แผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ และพ. การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อจะมาตอบโจทย์ตรงนี้ ดังนั้น ถ้าเอาจิ๊กซอว์ของกฎหมายแต่ละตัวมาต่อกัน จะพบว่าประเทศของเราเสียงของประชาชนที่ลงคะแนนให้ส. จึงเป็นเหมือนเพียงละครหรือภาพลวงตา เพราะส. ที่เลือกมาไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการทำตามนโยบายที่ตัวเองเคยสัญญาไว้ได้ เพราะระบบถูกออกแบบไว้แบบนี้ ส่วนการคำนวณแบบนี้จะทำให้พรรคเดียวได้ส. 250 ที่นั่งเป็นเรื่องยากนั้น ต้องพูดกันตามตรงว่าระบบที่ออกแบบมาอย่างนี้ รัฐสภากับรัฐบาลไม่มีทางจะมีประสิทธิภาพจากการทำงานได้เลย รัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะมีสภาพคล้ายกับปี 2520-2530 ที่ต้องอาศัยเสียงของวุฒิสภา ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการออกแบบไว้อยู่แล้ว การออกแบบการคำนวณส. ที่ซับซ้อนเช่นนี้ ทางออกมีอยู่ทางเดียว คือพรรคไหนที่มีนโยบายชัดเจนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องเลือกพรรคนั้นเยอะๆ เพราะกกต. เสนอสูตรมาแบบนี้ก็เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้แบบนี้ ไม่มีทางดัดแปลงสูตรเป็นอย่างอื่นได้ ยิ่งดัดแปลงจะยิ่งซับซ้อน ส่วนตัวก็ดีใจที่สังคมได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ว่าเมื่อคำนวณแบบนี้ พรรคที่เข้ามาอยู่ในรัฐสภาหรือไปเป็นรัฐบาลก็ไม่สามารถผลักดันนโยบายตัวเองได้อย่างแน่นอน แล้วเราจะเลือกตั้งกันไปแบบนี้ จะอยู่กันไปกับระบบข้าราชการประจำเป็นใหญ่แบบนี้ มันไม่น่าจะใช่แล้ว เพราะโลกเปลี่ยนไปทุกวัน สดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง กกต.
เกษตรศาสตร์ การคำนวณสูตร ส. ของ กกต. เป็นสูตรที่มาจากรัฐธรรมนูญกำหนด ดังนั้น กระบวนการคิดสูตรของกกต. ก็ต้องคิดแบบนี้ คือคิดจากค่าเฉลี่ย และเอาไปเทียบเคียงลักษณะบัญญัติไตรยางศ์ ประเด็นอยู่ที่พรรคการเมืองที่จะได้ประโยชน์จากการคำนวณแบบนี้ ก็คือพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย เพราะหากไปดูสถิติการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เขตไหนที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะก็มีคะแนนชนะขาดลอยจากพรรคอันดับสอง ส่วนเขตไหนที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้ คะแนนจะไม่ห่างจากพรรคที่ชนะมากนัก ดังนั้น เมื่อใช้วิธีคำนวณแบบกกต. กำหนดสูตรซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้ส. ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะจำนวนส. ที่พึงจะได้ ลำพังส. เขต พรรคประชาธิปัตย์อาจได้ไม่ถึง เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย เลือกตั้งครั้งที่แล้วส่งส. แทบทุกเขต แม้จะไม่ได้รับการเลือกตั้งแต่คะแนนก็จะอยู่ในลำดับสองลำดับสาม ฉะนั้นเมื่อเอาคะแนนมาเทกองกัน คำนวณเป็นสัดส่วนว่าพึงจะได้ส. กี่คน พรรคภูมิใจไทยก็จะได้คะแนนจากบัญชีรายชื่อมาเติมจำนวนมาก เมื่อสูตรคำนวณส. ออกมาแบบนี้ พรรคที่ได้ประโยชน์จึงมีอยู่สองพรรค ส่วนพรรคเพื่อไทยเสียประโยชน์แน่นอน เพราะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาได้ส.
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ Submitted on Thu, 2019-04-04 23:38 (1) "ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม" เป็นระบบการได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผสมระหว่าง "ระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก" และ "ระบบสัดส่วน" ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการแบ่งเขตเลือกตั้ง (350 คน) และจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง (150 คน) แล้ว จะเห็นได้ว่าระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ. ศ.
หมายเหตุ – นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการร่างรัฐธรรมนูญและประธานคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติ นำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับระบบเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบจัดสรรปันส่วนผสม ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับ กรธ. ความมุ่งหวังของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต้องการแก้ไขสภาพปัญหาการเมืองไทยที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น หามาตรการป้องกันมิให้บุคคลซึ่งเคยกระทำการทุจริตต่อหน้าที่หรือทุจริตในการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและกำหนดโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทยในอนาคต เช่น ทำอย่างไรที่จะให้คะแนนทุกคะแนนที่ประชาชนลงให้ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีความหมาย ไม่ถูกทิ้งเสียเปล่า สภาผู้แทนราษฎร 1. จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส. ส. ) สภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกจำนวน 500 คน ประกอบด้วย ส. ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 350 คน และ ส. แบบบัญชีรายชื่อ 150 คน โดยจำนวน ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 350 คน เป็นจำนวนที่ให้ความสำคัญกับ ส. ที่ต้องเป็นผู้แทนในเขตพื้นที่ของประชาชน ในขณะเดียวกันเพื่อให้คะแนนของประชาชนมีความหมายด้วยการใช้ระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม จึงกำหนดให้มี ส. แบบบัญชีรายชื่อจำนวน 150 คน ซึ่งมีที่มาจากการจัดสรรคะแนนที่ประชาชนเลือกพรรคต่างๆ ทั้งประเทศ ชดเชยให้แต่ละพรรคมีโอกาสได้ที่นั่งในสภาเป็น ส.
poccgram.com, 2024