36 ในเดือน ก. นี้ เพื่อพิจารณาเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) หลังจากนั้นในเดือน ต. จะขายซองเอกสาร ให้เวลาเอกชนจัดทำข้อเสนอประมาณ 90 วัน และเปิดให้ยื่นข้อเสนอในช่วงเดือน ม. 2565 คาดว่าจะใช้เวลาในการประเมินข้อเสนอและเจรจาต่อรองกับเอกชนที่ยื่นข้อเสนอเป็นประโยชน์กับ รฟม. และโครงการราว 3 เดือน และเสนอ ครม. เห็นชอบผลการประกวดราคาในเดือน เม. 2565 สำหรับภาพรวมโครงการ เนื่องจากการประกวดราคารอบใหม่นี้ รฟม. จะปรับแก้ข้อกำหนดกรอบเวลาก่อสร้างโครงการให้สั้นลง เพื่อเร่งรัดการให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มสามารถเปิดเดินรถช่วงตะวันออก ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ต้นปี 2568และเปิดเดินรถทั้งสายในช่วงไตรมาส 3 ปี 2570 ทั้งนี้ การประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีความล่าช้ามากว่า 1 ปี หลังจาก รฟม. ประกาศขายซองประมูลครั้งที่ 1 ไปเมื่อวันที่ 3 ก. 2563 และประกาศยกเลิกการประมูลเมื่อวันที่ 3 ก. พ. 2564 ซึ่งระหว่างการประมูลมีการฟ้องร้องต่อศาลหลังจากมีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การพิจารณาประมูลภายหลังการขายซองไปแล้ว โดยปรับปรุงวิธีการประเมินข้อเสนอจากเกณฑ์พิจารณาด้านราคา 100 คะแนน เป็นประเมินให้คะแนนด้านเทคนิค 30 คะแนน และราคา 70 คะแนน
ที่กำหนดหลักเกณฑ์การประเมินการคัดเลือกเอกชนผู้ชนะการคัดเลือกที่รัฐต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ดีที่สุด หรือมีการขอรับเงินสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐน้อยที่สุด "เราไม่อยากให้โครงการล่าช้า แต่อยากให้ดำเนินการเปิดประมูลโครงการเร็วที่สุด โปร่งใส ยุติธรรมตามกฎกติกา ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานต่อโครงการอื่นๆ" ส่วนกรณีหาก รฟม. เดินหน้าประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มรอบใหม่ โดยใช้หลักเกณฑ์พิจารณาในด้านเทคนิคและราคานั้น บีทีเอสคงต้องขอพิจารณาเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) ก่อนจึงจะตอบได้ว่าจะเข้าร่วมประมูลหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีโครงการใดใช้วิธีการประมูลพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคแบบนี้มาก่อน ในส่วนของโครงการลักษณะอื่นที่เคยใช้เกณฑ์นี้ โดยปกติก็มักจะมีการประกาศเกณฑ์ก่อนยื่นซอง และต้องมีความชัดเจนในการให้คะแนนทางด้านเทคนิคเปิดเผยก่อนยื่นข้อเสนอ ขณะที่การฟ้องร้องตามกระบวนการศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลาง ขณะนี้ศาลได้นัดทั้ง 2 ฝ่าย คือ บีทีเอส ผู้ฟ้อง และผู้ว่า รฟม. กับคณะกรรมการตามมาตรา 36 ในวันที่ 25 ต. นี้ ซึ่งในส่วนของบีทีเอสได้ให้ข้อมูลต่อศาลครบถ้วนแล้ว เหลือแต่ฝั่ง รฟม. หากเอกสารครบถ้วนในวันที่ 25 ต.
อนุมัตินั้น บีทีเอสได้ติดตามภาระหนี้จากกระทรวงมหาดไทยมาอย่างต่อเนื่อง และนำมาสู่การการร้องศาลปกครองเพื่อใช้สิทธิทางกฎหมาย นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บีทีเอสได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครอง ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายฟ้องต่อกรุงเทพมหานคร และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เนื่องจากไม่มีความชัดเจนในการชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยศาลปกครองรับคำฟ้องเมื่อวันที่ 18 ก. ค. 2564 และปัจจุบันอยู่ขั้นตอนให้กรุงเทพมหานครและบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด จัดทำคำชี้แจง สำหรับ ภาระหนี้สะสมที่ภาครัฐบาลมีต่อบีทีเอส แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. หนี้ค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย ตั้งแต่เดือน เม. 2560 จนถึงเดือน ก. 2564 ประมาณ 12, 000 ล้านบาท 2. หนี้ค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ประมาณ 20, 000 ล้านบาท ทั้งนี้ การยื่นคำฟ้องครั้งนี้ครอบคลุมเฉพาะหนี้สัญญาจ้างเดินรถ วงเงิน 12, 000 ล้านบาท ขณะที่สัญญาติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนรวบรวมเอกสาร เตรียมยื่นคำฟ้องให้ชำระหนี้อีก 20, 000 ล้านบาท ซึ่งบีทีเอสยอมรับว่าการค้างจ่ายค่าจ้างดังกล่าวที่มีมูลค่ามากกว่า 30, 000 ล้านบาทนั้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ทำให้บีทีเอสจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อนำมาบริหารจัดการ "ตอนนี้รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายยังเปิดให้ใช้ฟรี ยังไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากทาง กทม.
เศรษฐกิจ 30 ก. ย. 2564 เวลา 6:30 น. 158 "บีทีเอส" ยื่นฟ้อง กทม. จ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวกว่า 3 หมื่นล้านบาท รับแบกภาระเป็นเหตุต้องกู้เงินหนุนธุรกิจ "ศักดิ์สยาม" สั่งลุยประมูลสายสีส้ม ไม่ต้องรอศาลอาญาพิจารณาคดี การพิจารณาต่อสัญญาสัมปทาน รถไฟฟ้าสายสีเขียว ระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม. ) และ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ยืดเยื้อมามากกว่า 2 ปี นับจากที่มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. ) เมื่อวันที่ 11 เม. 2562 ให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันผลประโยชน์และการต่อสัญญา ทั้งนี้ การเจรจาต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ได้นำภาระหนี้ที่กรุงเทพมหานครจ้างบีทีเอสเดินรถส่วนต่อขยายระยะที่ 1 สะพานตากสิน-บางหว้า และอ่อนนุช-แบริ่ง รวมถึงระยะที่ 2 ช่วงหมอชิต-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ พร้อมกับภาระหนี้ค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) มาร่วมพิจารณาด้วย โดยมีหนี้ถึงปัจจุบันประมาณ 32, 000 ล้านบาท ในขณะที่ร่างต่อสัญญาสัมปทานไม่มีความคืบหน้าในการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม. )
poccgram.com, 2024